เดอะ ไทม์ส สื่อดังของประเทศอังกฤษ เผยว่าที่จริงแล้วในสัญญาที่ ลิเวอร์พูล ตกลงทำกับ ไนกี้ นั้นมีการระบุว่า ไนกี้ จะจ่ายเงินให้ ลิเวอร์พูล เพียงฤดูกาลละ 30 ล้านปอนด์ ซึ่งมันน้อยกว่าที่ปัจจุบัน ลิเวอร์พูลได้รับจาก นิว บาลานซ์ สปอนเซอร์ปัจจุบันด้วยซ้ำแต่ด้วยเหตุผลหลากหลายทางการตลาดที่ดีกว่าทำให้ ลิเวอร์พูล เลือกที่จะทำสัญญากับ ไนกี้ แทนเพราะการทำสัญญากับ ไนกี้ จะเป็นผลดีในด้านการขายชุดแข่งได้มากกว่า นิว บาลานซ์ แถมยังจะได้คนดังมาช่วยโปรโมตชุดแข่งให้ด้วย
ลิเวอร์พูล ตกเป็นข่าวเรื่องการเปลี่ยนสปอนเซอร์ชุดแข่งตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาจากการที่พวกเค้ากำลังจะหมดสัญญากับ นิว บาลานซ์ ลงในช่วงซัมเมอร์ปีหน้าแต่ก่อนหน้านี้ก็ได้่มีข่าวออกมาว่า ลิเวอร์พูลได้ตกลงทำสัญญากับ ไนกี้ ไปแล้วเรียบร้อยแต่ทางด้าน นิว บาลานซ์ ก็ได้ไปยื่นเรื่องร้องเรียนกับทางศาลสูง เนื่องจากมองว่าพวกเค้าควรจะได้สิทธิ์เจรจาต่อสัญญาฉบับใหม่กับทาง ลิเวอร์พูล จากการที่ในสัญญาฉบับปัจจุบันนั้นได้มีอ็อปชั่นว่า นิว บาลานซ์ มีสิทธิ์ให้ข้อเสนอในระดับเดียวกับข้อเสนอที่สูงที่สุดของ ลิเวอร์พูล จำทำให้ดีลยังไม่เสร็จสิ้นอย่างเป็นทางการลงซักที
ทั้งนี้มีข่าวว่า ไนกี้ ได้ยื่นข้อเสนอที่มีมูลค่าสูงสุดๆ ให้กับ ลิเวอร์พูล เพื่อที่จะได้สิทธิ์เป็นผู้ผลิตชุดแข่งขันรายใหม่ให้กับ ลิเวอร์พูล โดยปัจจุบัน ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมที่ได้รับเงินจากด้านสปอนเซอร์ชุดแข่งขันสูงที่สุดของเกาะอังกฤ๋เลย ซึ่งเจ้าของสถิติเดิมคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ตอนนี้ได้เงินจาก อาดิดาส ในเบื้องต้นฤดูกาลละ 75 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,850 ล้านบาท) ถึงกระนั้นล่าสุด เดอะ ไทม์ส ได้ออกมาเปิดเผยว่า ลิเวอร์พูล ได้เงินเบื้องต้นจาก ไนกี้ เพียงแค่ 30 ล้านปอนด์ต่อฤดูกาลซึ่งน้อยกว่าสัญญาปัจจุบันที่ได้รับจาก นิว บาลานซ์ ที่จ่ายให้ลิเวอร์พูล 45 (ประมาณ 1,710 ล้านบาท) ล้านปอนด์ต่อฤดูกาล
อย่างไรก็ตาม มันมีการระบุเสริมว่าสาเหตุที่ ลิเวอร์พูล ย้อมทำข้อเสนอในเบื้องต้นถึงแม้ว่าจะได้เงินน้อยกว่าคือการที่ ลิเวอร์พูล จะสามารถทำกำไรจากการขายชุดแข่งขันได้มากกว่าเพราะ ไนกี้ เป็นแบรนด์ยังใหญ่ที่มีร้านค้าอยู่แทบทุกมุมโลก และมีเครือข่ายที่ กว้างขวาง ต่างกับ นิว บาลานซ์ อย่างชัดเจน อย่างเช่นถ้าเป็น ไนกี้ จะสามารถวางชุดแข่งขันของลิเวอร์พูลได้มากถึง 6,000 ร้านค้าจากทั่วโลกต่างจาก นิว บาลานซ์ ที่ก่อนหน้านี้วางขายชุดแข่งขันได้แค่เพียง 3,000 ร้านค้าจากทั่วโลกคือผลประโยชน์ได้ต่างกันแบบครึ่งต่อครึ่ง